ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวิชาเศรษฐศาสตร์

 เศรษฐศาตร์ (Economic) = วิชาการแขนงหนึ่งในสาขาสังคมศาสตร์ ที่มุ่งศึกษาพฤติกรรมของคนในสังคมเกี่ยวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

 
รากศัพท์มาจาก คำว่า 'Oikonomikos' แปลว่า 'การบริหารจัดการของครัวเรือน'
 
            อย่างไรก็ตามมีผู้ให้คำจำกัดความของวิชาเศรษฐศาสตร์เอาไว้มากมาย
 
            สรุปแล้ว   วิชาเศรษฐศาสตร์ หมายถึง วิชาที่ศึกษาถึงพฤติกรรมของมนุษย์และสังคมในการตัดสินใจเลือกใช้ทรัพยากรการผลิตที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อผลิตสินค้าและบริการต่างๆ สนองความต้องการของมนุษย์ที่มีไม่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

 
ขอบข่ายของวิชาเศรษฐศาสตร์
1) เศรษฐศาสตร์บริสุทธิ์
เป็นการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์ที่มุ่งอธิบายถึงปรากฏการณ์ทาง เศรษฐกิจและแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล  หรือ ระหว่างปัจจัยหรือสาเหตุกับผลลัพธ์  เช่น  ถ้าสินค้าชนิดหนึ่งมีราคาสูง  ผู้ ซื้อจะตัดสินใจอย่างไร  โดยไม่คำนึงถึงว่าการตัดสิน ใจอย่างไร  โดยไม่คำนึงว่าการตัดสินใจนั้นเป็นที่น่า พึงพอใจของสังคมหรือไม่  เป็นต้น
2 ) เศรษฐศาสตร์นโยบาย 
เป็นการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับความพึงพอใจ ของสังคมว่า การดำเนินกิจกรรมหรือการตัดสินใจหนึ่งๆ เป็นสิ่งที่ควรกระทำหรือไม่ เช่น ถ้าสินค้าชนิดหนึ่งมีราคาสูง ผู้ซื้อควรจะตัดสินใจอย่างไร หรือรัฐบาลควรจะดำเนินการอย่างไร      เป็นต้น ดังนั้น สามารถจำแนกขอบข่ายออกได้เป็น ๒ แนวทาง ดังนี้
      1. เศรษฐศาสตร์จุลภาค เป็นการศึกษากิจกรรมทางเศรษฐกิจของบุคคล ครัวเรือน เป็นการศึกษาเฉพาะส่วนย่อย ๆ ในระยะเวลาหนึ่ง ๆ
      2. เศรษฐศาสตร์มหภาค เป็นการศึกษากิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับรวมหรือในระดับประเทศ เช่น รายได้ประชาชาติ อัตราการจ้างงาน การธนาคาร การคลัง
 
 
กิจกรรมทางเศรษฐกิจ
 
     1. การผลิต (Production) เป็นการสร้างสินค้าและบริการเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์โดยให้เกิด ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ เช่น ประโยชน์จากรูปร่าง ประโยชน์จากสถานที่ ประโยชน์จากเวลา ประโยชน์จากกรรมสิทธิ์
 
ปัจจัยการผลิต
 
    * ที่ดิน หมายถึง ที่ดินและทรัพยากรที่อยู่ในดินและเหนือพื้นดิน ค่าตอบแทนคือ ค่าเช่า
    * แรงงาน หมายถึง แรงงานที่เกิดจากกำลังกายและสติปัญญาของมนุษย์ ค่าตอบแทนคือ ค่าจ้าง หรือเงินเดือน
    * ทุน หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้ร่วมกับแรงงาน เช่น เครื่องจักร ค่าตอบแทนคือ ดอกเบี้ย
    * ผู้ประกอบการ หมายถึง ผู้ที่นำเอาปัจจัยการผลิต มาผลิตเป็นสินค้าและบริการ ค่าตอบแทนคือกำไร
 
ขั้นการผลิต
 
    * การผลิตขั้นปฐมภูมิ เป็นการผลิตขั้นแรกโดยนำทรัพยากรธรรมชาติ เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยใช้แรงงาน เช่น การประมง การเกษตร
    * การผลิตชั้นทุติยภูมิ เป็นการนำเอาผลผลิตขั้นต้น มาแปรสภาพเป็นสินค้าได้แก่ หัตถกรรม และอุตสาหกรรม
    * การผลิตชั้นตติยภูมิ เป็นการผลิตในรูปบริการ เช่น การขนส่ง การท่องเที่ยว การประกันภัย
 
       การกำหนดราคาและปริมาณการผลิต ผู้ผลิต อาจคาดคะเนผลผลิตจากการคาดคะเนอุปสงค์และอุปทานของสินค้าในตลาด
อุปสงค์ (Demand) เป็นความต้องการซื้อสินค้าและบริการ ขึ้นกับราคาสินค้า
        กฎทั่วไปของอุปสงค์ คือ อุปสงค์แปรผันโดยอ้อมหรือผูกพันกับราคาสินค้าและบริการ (สินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เป็นสินค้าที่มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์น้อย)
อุปทาน (Supply) เป็นปริมาณความต้องการที่จะขายสินค้าและบริการ ซึ่งจะขึ้นกับราคาของสินค้าและบริการ
        กฎทั่วไปของอุปทาน คือ อุปทานจะแปรผันโดยตรงกับราคาสินค้าและบริการ
ราคาดุลยภาพและปริมาณ ดุลยภาพ
 
ราคาสินค้าแพงนั้น เกิดขึ้นเมื่อ อุปสงค์มากกว่าอุปทาน (ภาวะอุปสงค์ส่วนเกิน)
ราคาสินค้าถูกลง    เกิดขึ้นเมื่อ อุปทานมากกว่าอุปสงค์ (ภาวะอุปทานส่วนเกิน)
 
รูปเส้นของอุปสงค์และอุปทาน
 
2. การบริโภค (Consumption) หมายถึงการใช้ประโยชน์จากสินค้าและบริการ
ชนิด ของการบริโภค
 2.1
2.2
สินค้าคงทน ได้แก่ สินค้าที่เก็บไว้ใช้ได้นานเป็นปี เข่น ปากกา นาฬิกา กระเป๋า
สินค้า ไม่คงทน ได้แก่ สินค้าที่ใช้แล้วหมดสิ้นไปภายใน 1 ปี เช่น อาหาร น้ำมัน เชื้อเพลิง กระดาษ ถ้ารายได้ต่ำ ความสามารถในการบริโภคจะถูกจำกัดลง และถ้ามีรายได้สูง ความสามารถในการบริโภคจะสูงขึ้น
 
3. การกระจาย (Distribution) หมายถึงการจำนวนจ่ายแจกสินค้าและบริการ แบ่งเป็น
 3.1
3.2
การกระจายสินค้าและบริการ ไปสู่ผู้บริโภค
การกระจายรายได้ เป็นการกระจายผลตอบแทนไปสู่ปัจจัยการผลิต
 
4. การแลกเปลี่ยน (Exchange) หมายถึง การนำสินค้าและบริการไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าและบริการอื่น หรือแลกเปลี่ยนกับสื่อกลาง จึงแบ่งออกเป็น
 4.1
4.2
4.3
การแลกเปลี่ยนสินค้าต่อ สินค้า
การแลกเปลี่ยนสินค้าต่อเงินตราหรือใช้สื่อกลาง
การแลกเปลี่ยน แบบใช้สินเชื่อ เช่น เช็ค ตั๋วแลกเงิน ดราฟท์
 
 
รูปแบบของระบบเศรษฐกิจ << ตรงนี้สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในตอนที่ 4 ค่ะ
1. ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือเสรีนิยม
  • เอกชนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของ ทรัพย์สินและเป็นผู้ดำเนินการผลิต
  • มีการแข่งขันกันในด้านคุณภาพ ราคา การให้บริการ
  • กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินผ่านกลไกราคา
ข้อดี1. เอกชนมีสิทธิ์เสรีภาพในทางเศรษฐกิจ
2. สินค้ามีการพัฒนา มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ดี
ข้อเสีย1. การกระจายรายได้ไม่เท่าเทียมกัน
2. ทรัพยากรถูกนำมาใช้ฟุ่มเฟือย
2. ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
  • รัฐมีบทบาทในการวางแผนและดำเนิน กิจกรรมทางเศรษฐกิจ
  • เอกชนยังเป็นเจ้าของปัจจัยบางประเภท
  • มีการวางแผนด้านเศรษฐกิจจากส่วนกลาง
ข้อดี1. ความยุติธรรมทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น
2. ฐานะของประชาชนไม่แตกต่างกัน
ข้อเสีย1. รัฐรับภาระทางด้านสวัสดิการ
2. เอกชนถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
3. ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์
  • รัฐเป็นเจ้าของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและปัจจัยการผลิต
  • เอกชนไม่มีสิทธิเสรีภาพในการเลือกอาชีพ
  • รัฐควบคุมการผลิตอย่างสมบูรณ์ มีการวางแผนจากผลิตจากส่วนกลาง
ข้อดี1. ควบคุมการใช้ทรัพยากรได้ดี
2. เอกชนถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจ
4. ระบบเศรษฐกิจแบบผสม
  • กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่เป็นของเอกชน
  • รัฐคงจัดสรรสวัสดิการให้ประชาชน
  • มีการแข่งขันด้านคุณภาพ ราคา บริการ
  • รัฐเข้าดูแลกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อส่วนรวม
  • ใช้กลไกราคาร่วมกับการวางแผนจากส่วนกลาง
ข้อดี1. เอกชนมีเสรีภาพ
2. รัฐเข้าคุ้มครองผลประโยชน์ไว้กับประเทศและสังคม
ข้อเสีย1. รัฐรับภาระสวัสดิการต่าง ๆ
 
 
การเงิน การคลัง การธนาคาร

    เงิน คือ สิ่งใด ๆ ก็ตามที่สังคมยอมรับใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
หน้าที่ของเงิน
 1.
2.
3.
4.
เป็นเครื่องวัดมูลค่า
เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน  ****** เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุด
เป็นมาตรฐานในการชำระหนี้ในอนาคต
เป็นเครื่องรักษามูลค่า
ชนิดของเงิน
 1.
2.
3.
เงินเหรียญกษาปณ์ 
เงินธนบัตร
เงินฝากกระแสรายวันหรือเผื่อเรียก
      ปัจจุบันประเทศต่าง ๆ (รวมทั้งประเทศไทย) หันมาใช้มาตรฐานเงินตราที่เรียกว่ามาตราผสมภายใต้กองทุนการเงินระหว่าง ประเทศ โดยกำหนดค่าเสมอภาค เทียบกับทองคำ และเงินดอลลาร์
ค่าของเงิน
 1.
2.
ค่าภายนอก เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น เช่น 42 บาทเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าภายใน เป็นอำนาจในการซื้อสินค้าของเงิน 1 หน่วย ถ้า 1 หน่วย ซื้อสินค้าได้มาก แสดงว่ามีค่ามาก (ค่าของเงินจะแปรผกผันกับราคาสินค้า)
 
***** ภาวะการเงินที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ ได้แก่
 
1.

ภาวะเงินเฟ้อ คือ ภาวะที่เงินมีอำนาจการซื้อลดลง ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น
 ผลกระทบ- ผู้เสียเปรียบคือ เจ้าหนี้ และผู้มีรายได้แน่นอน
- ผู้ได้เปรียบคือ ลูกหนี้ และนักธุรกิจ
 วิธีแก้ปัญหา- ขึ้นอัตราดอกเบี้ย และขายพันธบัตรรัฐบาล
- ใช้นโยบายงบประมาณเกินดุล ด้วยการเพิ่มภาษีอากร
 
2.

ภาวะเงินฝืด คือ ภาวะที่มีเงินมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น ปริมาณเงินลดลง ราคาสินค้าและบริการถูกลง แต่ไม่มีคนมาซื้อ
  ผลกระทบ- ผู้เสียเปรียบคือ ลูกหนี้ และนักธุรกิจ
- ผู้ได้เปรียบคือ เจ้าหนี้ และผู้มีรายได้แน่นอน
  วิธี แก้ปัญหา- ลดอัตราดอกเบี้ย และซื้อพันธบัตรรัฐบาล
- ใช้นโยบายงบประมาณขาดดุล ด้วยการลดหนี้ และเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐ
 
3.

ภาวะเงินตึง      คือ   ภาวะที่กระแสการเงินชะงักชะงัน มีความต้องการเงินเพื่อลงทุนเพิ่มแต่ปริมาณเงินน้อย
  การแก้ปัญหา   คือ   เพิ่มปริมาณเงินหรือกู้เงินมาหมุนเวียนเพิ่มอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อหรือเงิน ฝืดก็ได้
 


ความคิดเห็น